วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



-- Subject-verb Agreement--

4.1  Subject-verb Agreement
        การเปลี่ยนรูปกริยาให้สอดคล้องกับประธาน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นกิจวัตร หรือเป็นจริง ( present tense) รูปกริยาจะเปลี่ยนไปตามประธานดังนี้

          4.1.1 รูปกริยา
1)  รูปกริยา จะอยู่ในรูปที่ไม่ผัน ( V base form) เมื่อประธานคือ I, we, you, they
     We visit Hua Hin every summer.
     In this village, many villagers grow rice.
     You and I need to catch up with our class after participating in the ASEAN tennis
     championship.

2)  รูปกริยา ต้องเติม - s เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (he, she, it)
     Thailand exports rice.
     The computer costs 22,000 baht.
     The car runs fast.
     The sun rises in the east and it sets in the west.

      เติม - es ท้ายคำกริยาใด ๆ ที่ลงท้ายด้วย s, ch, x หรือ o
     To get to the university, the student catches the train at 6.00 every morning.
     The MRT passes the Queen Sirikit National Convention Center.   Get off there.
     During the semester break, my advisee usually goes back to her hometown in Korat.

      เติม - ies ท้ายคำกริยาใด ๆ ที่ลงท้ายด้วย   y โดยการเปลี่ยน y   เป็น   i  ก่อน
      แล้วจึงเติม - es เช่น specify, rely, simplify, satisfy
     DD Company specifies the salary for a secretary at 18,000 baht a month.
     Thailand relies on agriculture.
     The teacher usually simplifies the course book so that students can understand it.
     The quality of shrimps satisfies the US importers.

      ยกเว้น   ถ้าข้างหน้า   y  มีสระ   a, e, o, u   เช่น   pay, pray, buy, employ  ให้เติม  - s  ได้เลย
โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูป
     The customer pays at the cashier.
     My son prays before going to bed.
     Mom buys fresh food from the weekend market near our house.
     The company employs new mechanics every year.
4.1.2 หลักการผันกริยาตามประธานของประโยค 

          1)  กริยาจะอยู่ในรูปพหูพจน์ เมื่อประธานสองตัว เชื่อมด้วย ‘and' หรือ ‘both…and' เช่น
               Both Thai food and Japanese food are expensive.
               ในขณะที่กริยาจะอยู่ในรูปเอกพจน์ ถ้าประธานสองตัว เชื่อมด้วย ‘and' โดยมีความหมายเป็นของสิ่งเดียวหรือคน ๆ เดียว   เช่น
               Bread and butter becomes my quick breakfast.
               Love and care means a lot to us.
               The father and company owner looks happy when seeing his son work hard. 
               ในประโยคนี้ The father and company owner เป็นคนเดียวกัน จึงถือเป็นเอกพจน์ ให้สังเกต ว่ามี ‘The'  นำหน้า father เท่านั้น

          2) ให้ผันกริยาตามรูปประธานที่มีส่วนขยายต่อไปนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงส่วนขยายที่ตามมา กล่าวคือ ถ้าประธานอยู่ในรูปเอกพจน์ จะต้องใช้กริยาเอกพจน์ และถ้าประธานเป็นพหูพจน์ จะต้องใช้กริยาพหูพจน์เช่นเดียวกัน
accompanied by, in company with, along with, together with, with, including, plusSidh , along with his friends, volunteers to work for Chiang Mai Hospital during weekends.
but, not, excep
, excluding       
All of us but Liam use credit cards.
Kate , not her brothers, finds Buddhism interesting.
as well as, likeSalary , as well as welfare benefits, is important for employees.
Thailand , like other countries, promotes green projects.

          3) ให้ผันกริยาตามคำสรรพนามรูปเอกพจน์
someone      everyone      anyone
somebody    everybody     anybody
something    everything     anything
nobody        nothing
Everyone wants to be happy.
Nothing lasts forever.
If anyone sees Sak, ask him to call me.

          4) ให้ผันกริยาตามประธานที่มีคำในกลุ่ม each, either, neither, not only…but also ดังนี้
each, either, neither +  
นามเอกพจน์ + กริยาเอกพจน์
Either book tells you about nature.
Each woman wears her national costume.
each of, either of, neither of + 
นามพหูพจน์   +  กริยาเอกพจน์
Each of these dishes contains herbs.
Neither of the devices works .
neither … nor…, either … or…, not only… but also…   +  กริยาที่ผันตาม คำนามตัวหลัง                    Not only food with high fibers but also fresh fruitshelp maintain your health.
Neither money nor gifts make me happy.

          5)  การผันกริยาตามประธานที่ใช้กับคำบอกจำนวน
a lot of, plenty of, most of, all of, none of, some of, …percent of, one-third of, three-fifths of + ประธานที่เป็นนามนับไม่ได้ + กริยาเอกพจน์  
หรือ   +  ประธานพหูพจน์   +  กริยาพหูพจน์  
A lot of people prefer traveling in the country.
15 percent of my salary goes to charity.
a great deal of, a large quantity of,  a large amount of + นามเอกพจน์ + กริยาเอกพจน์A large amount of water from the dam flows into farmlands nearby.
A great deal of electricity comes from hydropower.
a number of, many +  นามพหูพจน์   +  กริยา พหูพจน์    แต่ 
the number of +  นามพหูพจน์   +  กริยาเอกพจน์
A number of paintings reflect the beauty of nature. (a number of = a lot of)
The number of students in this section is 45.

          6)  ให้ผันกริยาเป็นเอกพจน์ เมื่อประธานอยู่ในรูป infinitive ( คำหรือกลุ่มคำที่ขึ้นต้นด้วย to) และ gerund ( คำหรือกลุ่มคำที่ขึ้นต้นด้วย V-ing) และ noun clause ( ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมเช่นเดียวกับคำนาม)
               To reduce cholesterol requires self-discipline.
               Jogging regularly makes me healthy.
               How well the kidneys work influences the body's health. 
               แต่ถ้าประธานที่อยู่ในรูปดังกล่าวข้างต้นมีมากกว่าหนึ่ง โดยมี ‘and' เชื่อม ให้ใช้กริยาพหูพจน์ เนื่องจากถือว่ามีสองสิ่งหรือมีประธานสองตัว ยกเว้นถ้าหมายถึงของสิ่งเดียวหรือคน ๆ เดียวตามหลักข้อที่ 1) เช่น
               What is for lunch and whether it is delicious or not interest all of us.
               ( ถือเป็นประธานสองตัว)
                   To apply for a scholarship and get it is difficult. ( ถือเป็นสิ่งเดียว)

          7)  จำนวนเงิน เวลา หรือมาตราต่าง ๆ ถือเป็นเอกพจน์ ต้องใช้กริยาเอกพจน์
                  Six months does not cause any problem with our relationship.
                  Ten dollars equals 320 baht at today's rate.

          8)  กริยาของ who, which, that จะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับคำนามที่มันขยาย
                  The person who takes charge of security on campus has been trained to stay alert all the
time.
                   Many Korean movies which attract many Thai female fans play an important part in
fashion, especially among teenagers.

          9)  ชื่อหนังสือ ภาพยนตร์ หรือบทความ ถือเป็นเอกพจน์ ต้องใช้คู่กับกริยาเอกพจน์
                   Friends catches its audience's attention.
                   Anthony and Cleopatra never dies .  It becomes a classic.

         10)  คำที่เป็นชื่อวิชา ชื่อโรค ชื่อประเทศที่เป็นหมู่เกาะ ที่ลงท้ายด้วย s เป็นเอกพจน์ และต้องใช้คำกริยาที่เป็นเอกพจน์ เช่น AIDS, measles, physics, mathematics, the Philippines
                   AIDS spreads very easily.
               I love mathematics which helps exercise my brain.
               Among many countries in Asia, the Philippines plays a leading role in farming.

         11) คำนามบางคำ เช่น species, series, deer, fish, sheep อาจเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับความหมาย
                  Most fish breathe through gills.
                  This species of fish lives in cool climates.
              There are many species of fish that are found in this river.

         12) คำนามบางคำเป็น collective noun ถือเป็นหนึ่งหน่วย เป็นเอกพจน์ เช่น family, team, crew, class, government, committee
                  Our family lives in Chon Buri.
                 The committee meets every Monday.
                 The team practices three times a week.
          แต่ถ้าใช้ collective noun ในความหมายแยกเป็นหลายหน่วย แต่ละหน่วยทำหน้าที่อิสระ จะถือเป็นคำนามพหูพจน์
                 Our family are all doctors.
                 The committee give comments on each issue carefully before making decisions.
                 The team unite for charity annually.

ตัวอย่างการใช้รูปกริยาที่ผันตามประธานในบทความการท่องเที่ยว 
              Each Thai beach and island has its own character and identity and therefore draws a specific type of visitor.  Each coastal area contains a slice of heaven suitable for a different style of traveler:  The west coast of Thailand, along the Andaman Sea, features beaches that appeal to every type of traveler, including the activity-filled resort island of Phuket; the popular backpacker beaches of Koh Phi Phi, Koh Lanta, and Krabi; the family friendly, laid back, and pristine coast of Khao Lak (the launching point for trips to the spectacular Similan Islands); and the remote, undeveloped islands of the far south.



ประโยค Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยา เช่น
John eats bread. (John ทานขนมปัง)
ประธานของประโยคนี้ คือ John ซึ่งเป็นผู้กระทำกริยา eats
ประโยค Passive Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำด้วยกริยา เช่น
Bread is eaten by John. (ขนมปังถูกทานโดย John)
ประธานของประโยคนี้ คือ Bread ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำกริยา eats โดย John
เราจะใช้ประโยค Passive Voice แทน Active Voice
เมื่อเราต้องการ เน้นผู้ถูกกระทำหรือเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ไม่ทราบว่าผู้กระทำเป็นผู้ใด เช่น 
เมื่อปากกาเราถูกขโมย เรามักจะพูดว่า
 
My pen was stolen. (ปากกาของฉันถูกขโมยไปแล้ว)
 
เราไม่นิยมพูดว่า A thief stole my pen. (ขโมยได้ขโมยปากกาของฉันไปแล้ว)
หลักในการเปลี่ยนประโยค Active Voice เป็น Passive Voice 
1. นำกรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานของประโยค Passive Voice เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
2. เปลี่ยนคำกริยาของประโยค Active Voice เป็นช่องที่ 3 และจะต้องมี Verb to be อยู่หน้าคำกริยานั้นเสมอ
(จะใช้ Verb to be ตัวใด ขึ้นอยู่กับประธานของประโยค Passive Voice
และ Tense ของคำกริยาตัวเดิมใน Active Voice) เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
*** ใช้ is eaten เพราะประธานของ Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้ และคำกริยาของ Active Voice เป็นช่อง 1 (eats)
3. นำประธานของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมของประโยค Passive Voice โดยมีคำว่า by นำหน้า เช่น
Active Voice : John eats bread.
=> Passive Voice : Bread is eaten by John.
** ถ้าประธานของประโยค Active Voice เป็นคำสรรพนาม (Pronouns)
เมื่อเปลี่ยนไปเป็นกรรมของประโยค Passive Voice
จะต้องเปลี่ยนรูปเป็นกรรมตามไปด้วย เช่น
Active Voice : He ate bread.
=> Passive Voice : Bread was eaten by him.
การเขียนประโยค Passive Voice
ให้คำนึงถึง คำกริยาในประโยค Active Voice ใน 2 ลักษณะ ดังนี้
1. ถ้าในประโยค Active Voice มี คำกริยาช่วยกับคำกริยาแท้
เมื่อเขียนเป็นประโยค Passive Voice ส่วนที่เป็นกริยาจะประกอบด้วย
คำกริยาช่วย + be + คำกริยาช่องที่ 3
เช่น
Active Voice : Jenny can drive a car.
=> Passive Voice : A car can be driven by Jenny.
Active Voice : He will drink coffee.
=> Passive Voice : Coffee will be drunk by him.
Active Voice : She has to speak English. (has to หรือ have to มีความหมายว่า "จำเป็นต้อง")
=> Passive Voice : English has to be spoken by her.
Active Voice : Mark ought to do homework this evening.
(ought to มีความหมายว่า "ควร/ควรจะ")
=> Passive Voice : Homework ought to be done by Mark this evening.
2. ถ้าในประโยค Active Voice มี เฉพาะคำกริยาแท้ ไม่มีคำกริยาช่วย
เมื่อเขียนเป็นประโยค Passive Voice ส่วนที่เป็นกริยาจะประกอบด้วย
Verb to be + คำกริยาช่องที่ 3
โดยส่วนที่เป็น Verb to be นั้น
จะเปลี่ยนรูปไปตามคำกริยาแท้ในประโยค Active Voice
เช่น
Active Voice : Jenny ate rice.
=> Passive Voice : Rice was eaten by Jenny.
(Verb to be ใช้ was เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นช่องที่ 2 = ate
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้ = Rice)
Active Voice : Mark does homework everyday.
=> Passive Voice : Homework is done by Mark everyday.
(Verb to be ใช้ is เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นช่องที่ 1 = does
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นนามนับไม่ได้ = Homework)
Active Voice : She is making a doll.
=> Passive Voice : A doll is being made by her.
(Verb to be ใช้ is being
เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นรูปปัจจุบันกำลังกระทำ = is making
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 = A doll)
Active Voice : He was making dolls.
=> Passive Voice : Dolls were being made by him.
(Verb to be ใช้ were being
เพราะคำกริยาใน Active Voice เป็นรูปอดีตกำลังกระทำ = was making
และประธานของประโยค Passive Voice เป็นพหูพจน์บุรุษที่ 3 = Dolls)


tenses chart

Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )

คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง  การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา  เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี  4 แบบ คือ
แบบที่  1     แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่  2     แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่  3     แบ่งคำนามเป็น  4 ประเภท
แบบที่  4     แบ่งคำนามเป็น  7 ประเภท
ซึ่ง ใน  7  ประเภทนี้  3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns  และ mass  nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม  common nouns  ได้ดังนี้
2 ประเภท
3 ประเภท
4 ประเภท
7 ประเภท
Common Nouns
Proper Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Collective Nouns
1. Common Nouns
2. Proper Nouns
3. Abstract Nouns
4. Collective Nouns
5. Material Nouns
6. Concrete Nouns
7. Mass Nouns
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
    สิ่งของ          boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
    สถานที่         city, hill, road, stadium, school,company
    เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
    ความรู้สึก      fear, hate, love
    เวลา            year, minute, millennium
  • Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
    Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
            มีตัวตน      เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
            ไม่มีตัวตน   เช่น day, month, year, action, feeling
    Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
            มีตัวตน   เช่น   furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
           ไม่มีตัวตน  เช่น  music, love, happiness, knowledge, advice , information
 
Common countable
Common uncountable
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
Singular 
a cow
the cow
milk
the milk
plural
cows
the cows
-
-
  • Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค  ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ )  จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
  • เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
    ชื่อคน (Person Name) เช่น   Somsak , Tom, Daeng
    ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
    ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
  • Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
  • Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
    the United States, the Himalayas
    แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
    the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
  • เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common NounsProper Nouns
dogLassie ( ชื่อของสุนัข )
boyJack ( ชื่อของเด็กชาย)
carToyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )
monthJanuary ( ชื่อของเดือน)
roadSukhumvit ( ชื่อถนน )
universityChulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)
shipU.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )
countryThailand (ชื่อประเทศ )
  คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns   
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา 
Abstract  Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์
Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม
decision - to decidebeauty - beautifulinfancy - infant
thought  - to thinkpoverty - poorchildhood - child
Imagination - to imaginevacancy - vacantfriendship - friend
speech - to speakhappiness - happy 
growth - to growwisdom - wise 
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้   ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
            ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
          ( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว   จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )

เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
          ( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
         คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
        ( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )

Collective noun  บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น   people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birdsa group of students
a flock of sheepa pack of cards
a herd of cattlea bunch of flowers
a fleet of shipsa kilo of pork
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
  • เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น

    ธาตุ: iron, gold, air, copper
    สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
    ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk  
    อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad 
  • แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity)  เช่น
a bowl of rice
two boxes of cereal
five bottles of beer
a cup of tea
three bars of soap
two glasses of water
a loaf of bread
a slice of pizza
a piece of paper
a quart of milk
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )

พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก    เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
  • จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์ 
  • ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
    Blood is thicker than water.  เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
    Depression often affects women immediately following the birth of their babies
          ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
    He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
  • หมายเหตุ
    * บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money  แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7  ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้    โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns  และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
ประเภทคำนาม
ประเภทย่อย
ประเภทย่อย
ตัวอย่าง
Proper nouns
   John, London
Common nouns
Countable nouns
Concrete
 chair,book,student
Collective nouns
 two flocks of birds ,people
Uncountable Nouns
Concrete nouns
 ice cream,oil,water
Mass Nouns
 furniture,money,honesty
Material nouns
 water,bread,oxygen,gold
Abstract nouns
 honesty, friendship,honesty

ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ   (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
 
Common Nouns
Proper Nouns
Countable Nouns
Uncountable Nouns
Singular
Plural
Singular
Plural
Singular
Plural
ไม่มี article
(John)
the
(the Jones)
ชี้เฉพาะ
(definite )
the
(the boy )
the
(the boys)
the
(the water )
-
ไม่เฉพาะ
(indefinite )
a/an
(a tiger)
ไม่มี article
( tiger)
ไม่มี article
(water)
-
-

Direct and Indirect Object Pronouns Used Together

Notes:
  1. The written lesson is below.
  2. Links to quizzes, tests, etc. are to the left.

Here are the direct object pronouns and the indirect object pronouns side by side:
DO PronounsIO PronounsEnglish Equivalent
mememe
teteyou (familiar)
lo, lalehim, her, it, you (formal)
nosnosus
ososyou-all (familiar)
los, laslesthem, you-all (formal)


When you have both a direct object pronoun and an indirect object pronoun in the same sentence, the indirect object pronoun comes first.
Ellos me los dan.
They give them to me.
IO pronoun: me
DO pronoun: los
Ella te la vende.
She sells it to you.
IO pronoun: te
DO pronoun: la


Whenever both pronouns begin with the letter "l" change the first pronoun to "se."
le lo = se lo
le la = se la
le los = se los
le las = se las
les lo = se lo
les la = se la
les los = se los
les las = se las


The reason for changing "le lo" to "se lo" is merely to avoid the tongue-twisting effect of two short consecutive words that begin with the letter "l". To demonstrate this, first quickly say "les las" and then quickly say "se las." See how much easier it is to say "se las?"


In negative sentences, the negative word comes directly before the first pronoun.
No se lo tengo.
I don't have it for you.
Nunca se los compro.
I never buy them for her.


Because the pronoun se can have so many meanings, it is often helpful to clarify it by using a prepositional phrase.
Él se lo dice.
Ambiguous. He tells it to (whom?).
Él se lo dice a Juan.
He tells it to him. (to Juan)
Él se lo dice a María.
He tells it to her. (to María)
Él se lo dice a ella.
He tells it to her.


In sentences with two verbs, there are two options regarding the placement of the pronouns. Place them immediately before the conjugated verb or attach them directly to the infinitive.
She should explain it to me.
Ella me lo debe explicar.
Ella debe explicármelo.
I want to tell it to you.
Te lo quiero decir.
Quiero decírtelo.
You need to send it to them.
Se la necesitas enviar a ellos.
Necesitas enviársela a ellos.
Note that when attaching the pronouns to the infinitive, a written accent is also added to the final syllable of the infinitive. This preserves the sound of the infinitive.


When the pronouns are attached to the infinitive, make the sentence negative by placing the negative word directly before the conjugated verb.
Ella debe explicármelo.
Ella no debe explicármelo.
Quiero decírtelo.
No quiero decírtelo.
Necesitas enviársela a ellos.
No necesitas enviársela a ellos.


When the pronouns come before the conjugated verb, make the sentence negative by placing the negative word directly before the pronouns.
Ella me lo debe explicar.
Ella no me lo debe explicar.
Te lo quiero decir.
No te lo quiero decir.
Se la necesitas enviar a ellos.
No se la necesitas enviar a ellos.

Subject and PredicateEvery complete sentence contains two parts: a subject and apredicate. The subject is what (or whom) the sentence is about, while the predicate tells something about the subject. In the following sentences, the predicate is enclosed in braces ({}), while the subject is highlighted.
Judy {runs}.
Judy and her dog {run on the beach every morning}.
To determine the subject of a sentence, first isolate the verb and then make a question by placing "who?" or "what?" before it -- the answer is the subject.
The audience littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn.
The verb in the above sentence is "littered." Who or what littered? The audience did. "The audience" is the subject of the sentence. The predicate (which always includes the verb) goes on to relate something about the subject: what about the audience? It "littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn."
Imperative sentences (sentences that give a command or an order) differ from conventional sentences in that their subject, which is always "you," is understood rather than expressed.
Stand on your head. ("You" is understood before "stand.")
Be careful with sentences that begin with "there" plus a form of the verb "to be." In such sentences, "there" is not the subject; it merely signals that the true subject will soon follow.
There were three stray kittens cowering under our porch steps this morning.
If you ask who? or what? before the verb ("were cowering"), the answer is "three stray kittens," the correct subject.
Every subject is built around one noun or pronoun (or more) that, when stripped of all the words that modify it, is known as the simple subject. Consider the following example:
A piece of pepperoni pizza would satisfy his hunger.
The subject is built around the noun "piece," with the other words of the subject -- "a" and "of pepperoni pizza" -- modifying the noun. "Piece" is the simple subject.
Likewise, a predicate has at its centre a simple predicate, which is always the verb or verbs that link up with the subject. In the example we just considered, the simple predicate is "would satisfy" -- in other words, the verb of the sentence.
A sentence may have a compound subject -- a simple subject consisting of more than one noun or pronoun -- as in these examples:
Team pennants, rock posters and family photographs covered the boy's bedroom walls.
Her uncle and she walked slowly through the Inuit art gallery and admired the powerful sculptures exhibited there.
The second sentence above features a compound predicate, a predicate that includes more than one verb pertaining to the same subject (in this case, "walked" and "admired").

Written by Frances Peck